
แก้วเจ้าจอม ชื่อภาษาอังกฤษ Lignum Vitage ชื่อวิทยาศาสตร์ Guaiacum offinale Linn ความหมาย แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงกลาง เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นคดงอ กิ่งก้านเป็นปุ่มเป็นปม ลักษณะทรงพุ่ม มีเนื้อไม้สวยสีน้ำตาลอมเขียวถึงดำ แก่นไม้มีความแข็งแรงสูง เนื้อประสานกันแน่น

ความเชื่อ เนื่องจากมีคำว่า “เจ้าจอม” เป็นชื่อมงคลที่ทำให้ระลึกถึงรัชกาลที่ 5
ชื่อภาษาไทย : แก้วเจ้าจอม หรือน้ำอบฝรั่ง
ชื่อภาษาอังกฤษ : Lignum Vitage
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Guaiacum offinale Linn
วงศ์ : Zygophyllaceae
เป็นต้นไม้ทรงเสน่ห์ที่มีดีมากกว่าดอกหอมชื่นใจ แต่พันธุ์ไม้ชนิดนี้ยังมีต้นแตกใบพุ่มแผ่กว้าง ออกดอกเป็นสีอมม่วงหรือฟ้าครามชวนน่ามอง เรียกได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้ประดับที่มีมนต์เสน่ห์ชวนน่าหลงใหลตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้
ความเชื่อ และที่สำคัญยังมีความหมายมงคล หมายถึง “ไม้แห่งชีวิต (Wood of life)” เพราะมีสรรพคุณทางสมุนไพรช่วยรักษาโรคได้หลายโรค และเชื่อว่าคำว่า “เจ้าจอม” ยังเป็นคำมงคลที่ให้ระลึกถึงรัชกาลที่ 5
และต้นแก้วเจ้าจอมยังเป็นพันธุ์ไม้ต่างถิ่น ซึ่งแต่เดิมมีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง, อเมริกาใต้, และในรัฐฟลอริดาของอเมริกา และยังเป็นดอกไม้ประจำชาติ ของประเทศจาไมก้า ซึ่งถูกนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สเด็จประพาสชวา (อินโดนีเซีย) แล้วพบกับต้นไม้ที่สวยงามชนิดนี้ จึงได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้สร้าง “สวนป่า” และต่อมาได้พระราชทานนามว่า “สวนสุนันทา” อยู่ในเขตพระราชวังสวนสุนันทา ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ถูกปลูกอยู่บริเวณเนินพระนาง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระปิยมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี บริเวณหลังพระบรมรูปของพระนาง และยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาอีกด้วย
ลักษณะของแก้วเจ้าจอม

ลำต้น แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงกลาง สูง 10-15 เมตร เป็นไม้ผลัดใบ ลำต้นคดงอ กิ่งก้านเป็นปุ่มเป็นปม และได้ชื่อว่า “ไม้ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก” เพราะมีเนื้อไม้ที่สวย มีลักษณะสีน้ำตาลอมเขียวถึงดำ และมีแก่นไม้ที่มีความแข็งแรงสูง เนื้อประสานกันแน่น

ดอก ดอกของแก้วเจ้าจอมออกเป็นช่วงๆตลอดปี แต่ในช่วงฤดูหนาว พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ จะออกดอกมากกว่าปกติ ซึ่งดอกจะมีสีอมม่วงหรือฟ้าคราม จำนวน 5-6 กลีบ มีเกสรสีเหลือง ขนาดของดอกขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ส่วนช่อนั้นจะเจริญงอกงามตามลำต้น มี 30-50 ดอกต่อช่อ และค่อยๆบานเรียงกันไป ซึ่งดอกที่บานมานานกว่าจะมีสีที่ซีดจางกว่า
แก้วเจ้าจอม 6 ใบ มีลักษณะเป็นใบย่อย 3 คู่ ลักษณะไม่ต่างกันกับสายพันธุ์ 4 ใบ แต่จะมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วกว่า สามารถออกดอกได้ภายใน 1 ปี จึงทำให้เป็นสายพันธุ์ที่คนนิยมปลูกกันมากที่สุด ลักษณะเป็นช่อดอก เรียกว่าดอกดกเลยก็ว่าได้ แต่ทรงต้นจะแผ่ด้านข้าง มักจะนำไปปลูกในสวนแบบไม้พุ่มเตี้ยขนาดใหญ่
วิธีการปลูกแก้วเจ้าจอม แก้วเจ้าจอมนิยมปลูกในบริเวณที่มีพื้นที่กว้าง หรือมีสนามหญ้า เพราะเมื่อออกเป็นพุ่มต้นใหญ่แล้วจะแผ่กิ่งก้าน ให้ร่มเงาได้ดี และต้นไม้ชนิดนี้ยังชอบแสงแดดถ้าได้แสงที่เพียงพอก็จะทำให้ทรงพุ่มสวย และจะช่วยให้ออกดอกดกได้มากยิ่งขึ้น